เช้าวันอาทิตย์อันอบอุ่นของเดือนมีนาคม ณ คริสตจักรพระคุณชีวิตใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่พี่น้องคริสเตียนชาวไทยประมาณ 12 คนกำลังนั่งอยู่อย่างสงบรอการนมัสการ ผู้นำนมัสการเสร็จการทดสอบเสียงกีต้าร์ และศิษยาภิบาลตรวจสอบสไลด์ประกอบการเทศนาเป็นครั้งสุดท้าย สุภาพบุรุษผิวขาวชาวตะวันตก ในวัย 91 ปี เดินก้าวเท้าช้าๆ เข้ามาภายในห้องนมัสการและนั่งลงที่เก้าอี้
เมื่อผู้นำนมัสการลุกขึ้นและขอเชิญ “อาจารย์หมอ” ให้อธิษฐานเปิดการนมัสการ หมอเฮนรี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้า ๆ และเดินไปบริเวณหน้าห้อง ศีรษะสีเทาก้มลง ตาที่ลึกหลับลง และเริ่มอธิษฐาน ด้วยเสียงแผ่วเบาเนื่องด้วยวัย เมื่ออธิษฐานเสร็จ ท่านกลับมานั่งที่เก้าอี้ เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง
เมื่อร้องเพลงนมัสการเสร็จ หมอเฮนรี่และผู้ร่วมนมัสการคนอื่น ๆ นั่งฟังคำเทศนาเรื่องการถวาย โดยศิษยาภิบาล คืออาจารย์ปฐมพร คงอมรสายชล ครั้งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของหมอเฮนรี่ในโรงเรียนพระคัมภีร์ที่ท่านเองเป็นผู้ก่อตั้ง แต่ในช่วงปัจฉิมวัยอาจารย์ปฐมพรคือเป็นศิษยาภิบาลของท่าน
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่ผ่านมา เมืองไทยถือได้ว่าเป็นบ้านของหมอเฮนรี่ ช่วงเวลาอันยาวนานนี้ทำให้นึกย้อนไปถึงงานรับใช้ในต่างแดนของคนในยุคก่อน มิชชันนารีมากมายในปัจจุบันหวังที่จะเห็นผลอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2-3 เดือน หรือ 2-3 ปีก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศของตน การรับใช้ของหมอเฮนรี่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการเติบโตในวงกว้างอันเป็นผลของมิชชันนารีที่รับใช้ในระยะยาว
การรับใช้ในลักษณะนั้นต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง หมอเฮนรี่ต้องยอมสละเงินเดือนของแพทย์ที่ท่านควรได้รับในสหรัฐอเมริกา หรือบางทีท่านอาจได้สละโอกาสในการแต่งงานและสร้างครอบครัว (คุณหมอยังคงเป็นโสดอยู่) แน่นอนที่สุดท่านได้สละชีวิตที่ “ปกติ” ของความสะดวกสบายของท่าน
แต่ในขณะที่ท่านคุยกับผมในบ้านของท่านเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในเมืองไทย--การรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อน การประกาศข่าวประเสริฐแก่ชนเผ่าในพื้นที่ต่าง ๆ การบุกเบิกคริสตจักร และการสอนศิษยาภิบาลไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า--หมอเฮนรี่ไม่ได้เสียดายในสิ่งที่ท่านต้องเสียไปเลยแม้แต่น้อย
อาจารย์ปฐมพร ได้กล่าวถึงอาจารย์ของท่านคนนี้ว่า “ท่านได้ทุ่มเทอย่างจริงจังในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำนับตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อที่จะจบการแข่งขันอย่างดี”
จากแคนซัสถึงกรุงเทพมหานคร
ความปรารถนาที่จะทำงานมิชชั่นอยู่ในหัวใจของหมอเฮนรี่ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแคนซัส มลรัฐมิสซูรี่ สมาชิกในครอบครัวของท่านมีการทุ่มเทด้านความเชื่อในระดับที่แตกต่างกัน แต่ท่านเป็นผู้ที่เติบโตฝ่ายวิญญาณก่อนใคร ๆ และมีความคิดว่าการเป็นมิชชันนารี สามารถทำให้ท่านมั่นใจว่าท่านจะได้ไปสวรรค์
ในขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น หมอเฮนรี่เริ่มเข้าร่วมประชุมกลุ่มเยาวชนเพื่อพระคริสต์ (YFC) ที่หนาแน่นทุกคืนวันเสาร์ จากการประชุมนี้ท่านได้ฟังเรื่องของ การรอดบาปโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ ข้อความนี้ติดอยู่ในใจของท่านและเปลี่ยนแนวคิด เกี่ยวกับความเชื่อทั้งหมดของท่าน แต่ไม่ได้ทำให้แผนการที่จะเป็นมิชชันนารีของท่านเปลี่ยนแปลงไป หมอเฮนรี่พูดว่า “เมื่อได้เรียนรู้แล้วว่า การรอดบาปก็โดยพระคุณ มีอะไรอื่นอีกหรือที่ผมควรทำ”
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่หมอเฮนรี่ได้ทำบนหนทางสู่การเป็นมิชชันนารี เมื่อคุณพ่อแนะนำให้ประกอบอาชีพเป็นแพทย์ตามอย่างพี่ชายคนโต ท่านก็เชื่อฟัง และเข้าเรียนในสาขาแพทยศาสตร์ หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย มิสซูรี่ ท่านได้เป็นแพทย์ฝึกหัดในเมืองดาลัส ที่นี่เองที่ท่านได้มีส่วนร่วมอย่างมากในคริสตจักรท้องถิ่น ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นมิชชันนารี หมอเฮนรี่สมัครเรียนในวิทยาลัยพระคริสตธรรมดาลัส และได้รับปริญญาโทด้านศาสนศาตร์ ในปี 1962
หลังจากปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์ ได้ในระยะหนึ่ง หมอเฮนรี่เข้าร่วมกับโอเอ็มเอฟ และออกเดินทางโดยเรือมุ่งหน้าสู่ทวีปเอเชีย ในปี 1964 ท่านได้รับการฝึกฝนครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยและใช้เวลา 1 ปีเพื่อเรียนภาษาไทย และปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไทย
จากนั้นโอเอ็มเอฟได้ส่งท่านไปทำงานในโรงพยาบาล (มโนรมย์) ที่รักษาโรคเรื้อนในภาคกลางของประเทศไทย หมอเฮนรี่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานด้านการแพทย์อยู่ 2-3 ปี แต่หัวใจของท่านยังคงเรียกร้องที่จะประกาศพระกิตติคุณแก่ชนเผ่าที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าในภาคเหนือของประเทศไทย ผู้นำโอเอ็มเอฟต้องการให้ท่านใช้เวลาในช่วง 4 ปีแรกกับงานด้านการแพทย์ หลังจากนั้นท่านสามารถเปลี่ยนจากการดูแลทางฝ่ายร่างกายไปสู่ด้านจิตวิญญาณได้
การเข้าถึงชนเผ่ายิวเมี่ยน
“งานมิชชั่นทุกอย่างต้องมีรูปภาพ“ หมอเฮนรี่พูดพลางลุกขึ้นช้า ๆ จากโต๊ะในห้องครัวที่เรานั่งคุยกัน และเดินแบบตัวแข็ง ๆ ไปยังอีกห้องหนึ่ง “คุณต้องมีรูปภาพ” ท่านกล่าวและคิดว่าผมก็เหมือนคริสตจักรที่ท่านไปเยี่ยมเยียนขณะกลับไปพักที่อเมริกา ที่อยากเห็นภาพของผู้คนและสถานที่ต่าง ๆ ที่ท่านไปพบ เราพูดคุยถึงในช่วง 2 ปีแรกของงานรับใช้ของท่าน ราวปี 1970
ต้น ๆ ที่ตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศไทย-ลาว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประกาศในกลุ่มชนเผ่ายิวเมี่ยน ท่านอาศัยอยู่ในกระท่อมบนภูเขา จะพักอยู่ในแต่ละหมู่บ้านเป็นวันถึงเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับการต้อนรับคนของในหมู่บ้าน หมอเฮนรี่ได้ให้การรักษาชาวบ้านด้านสุขภาพ แม้จะมีเครื่องมือจำกัด แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของท่านคือการประกาศพระกิตติคุณ
หมอเฮนรี่เดินกลับมาพร้อมแฟ้มขนาดใหญ่ภายในบรรจุแผ่นสไลด์อายุกว่าครึ่งศตวรรษจำนวนมากมาย สไลด์เหล่านี้เป็นภาพกระท่อมเล็ก ๆ ปลูกอยู่บนพื้นดิน และชนเผ่าที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสี เป็นช่วงชีวิตแห่งความสำเร็จของหมอเฮนรี่ เช่น เมื่อคราวที่ท่านได้ช่วยชีวิตหญิงชาวยิวเมี่ยน โดยแบกหญิงผู้นี้บนหลังของท่านเพื่อไปส่งยังสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ขณะที่ไปได้ครึ่งทาง หมอเฮนรี่ได้ขอความช่วยเหลือจากรถปิกอัพคันหนึ่ง ให้นำเธอไปส่งในระยะทางที่เหลือ ทำให้ไปถึงทันเวลา หญิงผู้นี้อยู่ในอาการโคม่ามากว่าสัปดาห์ แต่ทีมรักษาสามารถช่วยชีวิตเธอได้ และท้ายที่สุด หมอเฮนรี่ได้รับรู้ภายหลังว่าหญิงผู้นี้ได้เป็นคริสเตียน
ยังมีความผิดหวังมากมายที่หมอเฮนรี่ต้องเผชิญเช่นกัน บางหมู่บ้านไม่ยอมรับท่านและบังคับให้ท่านออกจากพื้นที่ บางหมู่บ้านต้อนรับท่านในฐานะแพทย์ แต่ไม่ใช่นักเทศน์ แม้ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ แต่ในช่วง 2 ปีที่หมอเฮนรี่ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับชาวยิวเมี่ยน นำไปสู่มิตรภาพและสายสัมพันธ์ ซึ่งท่านได้รักษาไว้ตลอดหลายทศวรรษต่อมา หลายปีต่อมาท่านได้ช่วยผู้เชื่อชาวยิวเมี่ยนก่อตั้งคริสตจักรในเชียงใหม่
การสร้างวิทยาลัยพระคริสตธรรมแห่งแรกในกรุงเทพ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 คริสเตียนในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนน้อยประสบปัญหา คือคริสตจักรขาดแคลนนักเทศน์ และหลายคนที่ตัดสินใจร่วมงานรับใช้ มีโอกาสน้อยในการฝึกฝนด้านศาสนศาสตร์ที่เป็นทางการ บางคนไปศึกษาต่อต่างประเทศ แต่ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายสูง และหลายคนเลือกที่จะทำงานต่อที่นั่นหลังจบการศึกษา
ก่อนปี 1970 ช่วงต้น กรุงเทพมหานครไม่มีวิทยาลัยพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนพระคัมภีร์ ที่มีการสอนถึงขั้นปริญญา แม้องค์กรมิชชั่นและคณะนิกายหลายแห่งได้เริ่มโรงเรียนพระคริสตธรรมขนาดเล็กขึ้น แต่ผู้เชื่อท้องถิ่นและมิชชันนารี รู้สึกว่ายังมีความต้องการสถาบันพระคริสตธรรมหลักในเมืองหลวง ในปี 1970 นิมิตนี้ก็เป็นจริง เมื่อผู้เชื่อชาวไทยได้ถวายทรัพยากรที่จำเป็นเช่น อาคาร และเงินทุน องค์กรโอเอ็มเอฟ รวมทั้งคริสเตียน และสมาพันธ์มิชชันนารีตัดสินใจทำพันธกิจร่วมกันในโครงการนี้ เพื่อจัดตั้งสถาบันการศึกษาไม่สังกัดคณะนิกาย สิ่งที่ตามมาก็คือสถาบันที่ตั้งขึ้นใหม่จำต้องมีผู้อำนวยการ กรรมการบริหารวิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพที่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ขอให้หมอเฮนรี่รับใช้เป็นผู้นำคนแรก และเป็นอาจารย์เต็มเวลาเพียงคนเดียว ซึ่งท่านก็ได้ตอบรับ หลังจากกลับมากรุงเทพฯ จากการทำงานร่วมกับพี่น้องชาวยิวเมี่ยน หมอเฮนรี่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในอาคารสองชั้นเก่า ๆ ซึ่งเป็นทั้งหอพัก ห้องเรียน และสำนักงานแห่งแรกของพระคริสตธรรม
การสอนศิษยาภิบาลชาวไทย รุ่นต่อรุ่น
ภาพชุดต่อไปเป็นภาพของหมอเฮนรี่เองในวัยสามสิบปลายๆ ยืนกับชายหนุ่มชาวไทยในชุดขาวผูกไท 5 คน คนเหล่านี้คือนักศึกษากลุ่มแรกของพระคริสตธรรมกรุงเทพ ในปี 1971 หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ชุมแสง เรืองเจริญสุข ผู้เชื่อชาวไทยที่เติบโตในครอบครัวคริสเตียน (คุณปู่ของท่านเป็นคริสเตียนที่อพยพมาจากประเทศจีน) อาจารย์ชุมแสงสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ให้มากขึ้น และผู้ปกครองในคริสตจักรของท่านได้แนะนำให้เรียนกับหมอชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งวิทยาลัยพระคริสตธรรมนี้ ผู้ปกครองท่านนั้นยืนยันว่า คุณหมอเป็นดั่ง “สารานุกรมพระคัมภีร์”
เมื่ออาจารย์ชุมแสงมาถึงวิทยาลัยในตอนต้นภาคเรียน ท่านเป็นนักศึกษาคนที่สองที่มาพักอยู่ในหอพัก และหลังจากนั้นอีกไม่นานท่านก็ได้รู้ว่า จะมีนักศึกษาอีกเพียงสามคนที่จะเข้ามาเรียนด้วย อาจารย์ชุมแสงจำได้ว่าท่านได้ถามตัวเองว่า “ถ้า (หมอคนนี้) เก่งจริง ทำไมถึงมีนักศึกษาน้อยเช่นนี้” และ “ทำไมอาคารถึงได้ทรุดโทรมอย่างนี้”
แม้ว่าในตอนต้นจะเต็มไปด้วยความผิดหวัง อาจารย์ชุมแสงซึ่งในขณะนี้อยู่ในวัย 72 ปี เรียกช่วงเวลาที่ใช้ในพระคริสตธรรมกรุงเทพว่าเป็น “การหล่อหลอมที่พิเศษ” เพราะการที่หมอเฮนรี่พักรวมอยู่ด้วยกับบรรดานักศึกษาในอาคารเก่า ๆ ทรุดโทรมหลังนั้น ทำให้มีการสนทนาเกี่ยวกับจิตวิญญาณเลยเวลาเรียนบ่อย ๆ อาจารย์ชุมแสงเล่าว่า “พวกเราได้อภิปรายกัน คำถามแล้วคำถามเล่าในเวลากินข้าว” หลังจาก 5 ปี ของการศึกษาที่พระคริสตธรรมกรุงเทพ อาจารย์ชุมแสงเป็นศิษยาภิบาล ผู้สอนในสถาบันพระคริสตธรรม และผู้อำนวยการก่อตั้งมูลนิธิวิคลิฟแห่งประเทศไทย
ปัจจุบัน BBS คือวิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพ อาคารทรุดโทรมหลังเก่าได้ถูกแทนที่โดยอาคารใหม่ที่มีห้องเรียนและสื่อการเรียนการสอนครบถ้วน ห้องสมุดที่เพียบพร้อม และห้องประชุมขนาดใหญ่ จากเดิมที่เคยมีอาจารย์สอนเต็มเวลาเพียงคนเดียว ปัจจุบันมีคณาจารย์มากมาย ผู้อำนวยการปัจจุบันคือ ศจ.ดร. มาโนช แจ้งมุข ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์หมอเฮนรี่ ทำการสอนทั้งภายในวิทยาลัย และออนไลน์แก่นักศึกษาไทย เกือบหนึ่งพันคน
หลังจากเกษียณอายุจากวิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพ ในปี 1995 หมอเฮนรี่ ได้ย้ายจากกรุงเทพฯมาจังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้ช่วยในการจัดตั้งศูนย์พระคริสตธรรมเชียงใหม่ ซึ่งในระยะแรก นักศึกษาใช้บ้านของหมอเฮนรี่เป็นที่เรียน ศูนย์ฯได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเป็นพระคริสตธรรมเชียงใหม่ ซึ่งหมอเฮนรี่ได้ทำการสอนจนถึงปี 2018 ปัจจุบันวิทยาลัยมีนักศึกษาประมาณ 150 คน
ไม่ว่าจะในวิทยาลัยพระคริสตธรรมกรุงเทพหรือเชียงใหม่ อาจารย์หมอเฮนรี่ ได้ย้ำเตือนอยู่เสมอว่า นักศึกษาทุกคนต้องนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติ นักศึกษาได้ร่วมกับท่านในการบุกเบิกคริสตจักร ซึ่งรวมถึงคริสตจักรชีวิตใหม่มักกะสันในกรุงเทพ ซึ่งท่านได้ก่อตั้งร่วมกับมิชชันนารี อีกท่านหนึ่ง คริสตจักรได้เติบโตมากมายและหลังจากนั้นอีกไม่นาน ก็มีคริสตจักรชีวิตใหม่อีกหลายแห่งเกิดขึ้นทั้งในเมืองและที่อื่น ๆ คริสเตียนไทยรวมทั้งลูกศิษย์ของหมอเฮนรี่บางท่านได้มีส่วนเป็นผู้นำ และพัฒนาคริสตจักรจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
“วรรณกรรมที่ดีเยี่ยม”
หมอเฮนรี่วางรูปถ่ายทั้งหมดลงและหันไปหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ เขียนด้วยภาษาไทย มีภาพวาดของพระเยซูอยู่ด้านหน้า “ผมไม่ต้องการเทศนาให้คุณฟัง” ท่านพูดขณะที่เปิดหนังสือเล่มเล็กนั้น ผมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำกล่าวที่คุณหมอตั้งใจจะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย เพราะเห็นได้ชัดว่า คุณหมอต้องการเทศนาให้ผมฟัง เช่นเดียวกับที่ท่านได้ทำมาแล้วกับคนนับไม่ถ้วน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาพร้อมกับใบปลิวที่อยู่ในมือ ผมตอบท่านไปว่าไม่เป็นไร และจากนั้นหมอเฮนรี่ก็เริ่มพูดถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้าโดยละเอียด
เมื่อคริสเตียนไทยคิดถึงหมอเฮนรี่ บ่อยครั้งที่พวกเขาคิดถึงใบปลิวเหล่านี้ ตั้งแต่แรกหมอเฮนรี่จะมีใบปลิวเหล่านี้เสมอในกระเป๋าแพทย์ พร้อมหูฟัง และปรอทวัดไข้ ขณะที่ทำงานที่พระคริสตธรรมกรุงเทพ ท่านและนักศึกษาหลายคนใช้เวลาทุกวันอาทิตย์ช่วงบ่าย แจกใบปลิว ร้องเพลง และพูดคุยกับผู้คนในสวนลุมพินี หมอเฮนรี่ยังได้แจกใบปลิวในเชียงใหม่ และในประเทศเพื่อนบ้านที่ท่านมีโอกาสไปเยี่ยมเยียน จนครั้งหนึ่งท่านถูกผู้มีอำนาจในประเทศเวียดนามควบคุมตัวไว้เป็นเวลาถึง 3 วัน โทษฐานที่แจกใบปลิว หมอเฮนรี่ชี้ไปบนข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่เขียนไว้ในหนังสือเล็ก ๆ เริ่มจาก 1 ยอห์น 5 และเน้นที่ข้อ10 “คนที่เชื่อพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว”
“ในประเทศไทยผู้คนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เชื่อใน’ ” หมอเฮนรี่กล่าว “เชื่อในหมายถึงไว้วางใจ” ท่านอธิบายว่า การเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับคนไทย การเพิ่มผู้อยู่เหนือธรรมชาติอีกสักองค์หนึ่งเข้าไปในพระหลายองค์ที่มีอยู่แล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งน่าท้าทายอะไร แต่การเชื่อที่วางบนการสละชีวิตของพระเยซูเท่านั้นบ่อยครั้งกลับเป็นเรื่องที่ท้าทาย ในอดีตนักศึกษาที่เคยเดินแจกใบปลิวร่วมกับหมอเฮนรี่ในกรุงเทพฯ จำได้ดีว่ารู้สึกอึดอัดในตอนเริ่มต้น คนหนึ่งเล่าว่า เขารู้สึกอายมากเมื่อต้องเข้าไปปะปนกับผู้คนที่วิ่งออกกำลังกายอยู่ในสวนสาธารณะ แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่า พวกเขาค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะไม่ละอายในข่าวประเสริฐ แม้การตอบสนองในเชิงบวกจะมีน้อยมาก แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่พวกเขาคุยด้วยได้มาเป็นคริสเตียนในที่สุด
การประกาศพระกิตติคุณในลักษณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย ซึ่งหมอเฮนรี่เองก็ยอมรับถึงข้อเสียที่มี เช่น ท่านยอมรับว่า ตัวอักษรมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ผู้สูงอายุจะอ่านได้ และใบปลิวบางชุดอธิบายพระกิตติคุณตามแนวแบบตะวันตก ซึ่งคนไทยเข้าใจได้ไม่ง่าย แต่ท่านเชื่อว่าใบปลิวบางอันเป็นพยานที่เหมาะสม และเชื่อว่าการมอบสิ่งนี้ให้ถึงมือของผู้คนจะเกิดผลได้ “นี่คือหนึ่งในวรรณกรรมที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถจะมอบให้ใครก็ได้ในโลก” หมอเฮนรี่กล่าว พร้อมกับชูหนังสือเล่มเล็กในมือ
“ท่านไม่มีวาระอื่นใด นอกเหนือจากคุณ”
เมื่อผู้รับใช้ชาวไทยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพันธกิจของหมอเฮนรี่ พวกเขาต่างก็ชื่นชมในความทุ่มเทของท่าน “ท่านไม่เคยกล่าวว่า ต้องการกลับไปอเมริกา” อาจารย์ปฐมพรกล่าว “ท่านไม่เคยนับวัน เดือน หรือปี จนถึงช่วงเวลาพักตามกำหนดขององค์กร” ท่านทำสิ่งนี้ด้วย “ความรักที่ลึกซึ้งจากหัวใจเพื่อคนไทยทุกคน”
ทุกคนรู้จุดอ่อนของหมอเฮนรี่ นั่นคือบ่อยครั้งที่ท่านต้องรับผิดชอบงานรับใช้ที่มากมาย จนไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างเพียงพอ มิตรสหายพยายามสอดส่องดูแลให้แน่ใจว่าท่านได้รับประทานอาหาร และมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ ด้วยการที่เป็นอาจารย์และเป็นพี่เลี้ยงบางครั้งหมอเฮนรี่อาจเข้มงวดมาก และมีการสื่อสารที่ตรงเกินไปซึ่งอาจไม่เป็นที่ถูกใจของคนไทย
แต่คนทั้งหลายก็ยอมรับว่าหมอเฮนรี่มีใจถ่อมมากพอที่จะยอมรับความผิดพลาดและตั้งใจที่จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยในลักษณะที่มิชชันนารีหลายคนไม่สามารถทำได้ บางทีสิ่งที่สำคัญกว่าคือความสามารถที่ท่านจดจ่อและทุ่มเทต่อนักศึกษาและผู้คนรอบข้างแต่ละคน
“ท่านเป็น (หนึ่งในคนจำนวนน้อย) ที่ผมขอคำปรึกษาเมื่อมีปัญหาและอธิษฐานด้วย” มิตรสหายคนไทยเก่าแก่ผู้หนึ่งกล่าว “เพราะท่านไม่มีวาระอื่นใด นอกเหนือจากคุณ”
ในขณะที่เวลาร่วมกันของเราใกล้จะหมดลง ผมได้เห็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงถึงบุคลิกของหมอเฮนรี่ นั่นคือการมีวินัยฝ่ายวิญญาณ หมอเฮนรี่มีชื่อเสียงท่ามกลางคริสตจักรไทย ด้วยคติพจน์ที่ว่า “(ถ้า)ไม่อ่านพระคัมภีร์ ไม่กินอาหารเช้า” (No Bible, No Breakfast) ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ท่านรับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณทุกเช้า ก่อนที่จะรับประทานอาหารฝ่ายร่างกาย และเกือบทุกครั้งหมอเฮนรี่จะจบการสนทนาด้วยการอธิษฐาน เมื่อการสัมภาษณ์ของเราจบสิ้นลง และผมลุกขึ้นยืนพร้อมจะเดินจากไป หมอเฮนรี่ไม่รอช้าที่จะเรียกผมไว้แล้วพูดว่า “ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน” แล้วก้มศีรษะลง มือประสานเข้าด้วยกัน เหมือนที่ท่านได้ทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แปลโดย ดวงใจ จีระเดชากุล
Annual & Monthly subscriptions available.
- Print & Digital Issues of CT magazine
- Complete access to every article on ChristianityToday.com
- Unlimited access to 65+ years of CT’s online archives
- Member-only special issues
- Learn more
Read These Next
- TrendingAmerican Christians Should Stand with Israel under AttackWhile we pray for peace, we need moral clarity about this war.
- From the MagazineI Was a Disenchanted Deadhead Who Found Christ on a Greyhound BusWhen I fled the hippie scene, I never imagined how God’s Word would speak to me on board.
- Editor's PickAs Philippines’ Drug War Rolls On, Christians Continue Their WorkDuterte tried a hardline policy. Marcos is prioritizing rehab. Christians point to Jesus.